มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 2061 ครั้ง
ศาลอาญา วางแนวปฏิบัติพิจารณาคำร้องปิดเว็บ เน้นไต่สวน 2 ฝ่ายให้โอกาสคัดค้านควบคู่ทำเร็วแจ้งไต่สวนไม่เกิน 7 วัน มองความมั่นคงมิติตุลาการสร้างกระบวนพิจารณาเป็นธรรม สังคมศรัทธาเชื่อใจ ไม่มุ่งแค่ปราบปราม
วันนี้ (26 ก.ค.64) นายมุขเมธิน กลั่นนุรักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะแผนกคดีค้ามนุษย์ ซึ่งได้รับมอบหมายโดยตรงจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา รับผิดชอบคดียื่นคำร้องขอปิดเว็บไซต์ ระงับการเข้าถึงข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ กล่าวถึงการกำหนดแนวทางมาตรฐานการพิจารณาของศาลอาญา หลังจากมีการยื่นคำร้องสู่ศาลอาญาต่อเนื่อง นับตั้งแต่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 บังคับใช้ว่า จากกรณีศึกษาการยื่นคำร้องของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES กับบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ในคดีหมายเลขแดง พศ.339/2563 ที่ขอให้ปิดทีวีทั้งช่อง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 35 วรรคสอง เขียนว่าห้ามรัฐปิดสื่อมวลชนเพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพการนำเสนอข่าวสาร ดังนั้นการสั่งปิดสื่อจึงทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ส่วนวิธีการดำเนินกระบวนการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งใด ๆ เกี่ยวกับคำร้องขอการระงับการเข้าถึงข้อมูลบนเว็บไซต์ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 20 วรรคสี่ ระบุเพียงว่าให้นำวิธีการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาบังคับใช้โดยอนุโลม เราจึงต้องตีความตัวบทกฎหมายมากำหนดเป็นแนวทางพิจารณาของศาลอาญาให้ชัดเจน ถูกต้องในทางนิติศาสตร์เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องตามหลักสากล
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.64 นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา จึงอาศัยอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 (4) ออก “คำแนะนำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาว่าด้วยแนวทางการพิจารณาคำร้องขอให้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 20” เพื่อให้ผู้พิพากษาศาลอาญามีแนวทางในการปฏิบัติและพิจารณาคำร้องอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน อาทิ ผู้ร้องต้องแยกคำร้องเป็นรายข้อกล่าวหา แต่ละคำร้องควรมีฐานความผิดเดียว เช่น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ความผิดฐานเผยแพร่สิ่งลามกอนาจาร หรือการพนัน โดยแต่ละคำร้องอาจขอให้ปิดข้อมูลคอมพิวเตอร์หลายชุด (URL) ก็ได้, ให้มีการไต่สวนโดยการส่งสำเนาให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวหาเพื่อให้โอกาสที่จะคัดค้าน หากไม่มีคำคัดค้านก็ให้ไต่สวนฝ่ายเดียวโดยพิจารณาจากเอกสารของผู้ร้องเป็นหลัก คือ ภาระการพิสูจน์จะอยู่ที่ฝ่ายผู้ร้องจะต้องนำหลักฐานมายืนยันให้ศาลเห็น, สำหรับเว็บไซต์ให้ข้อมูลข่าวสาร ศาลจะไม่ปิดช่องทางการสื่อสารของสื่อหรือบุคคล การสั่งลบหรือห้ามเผยแพร่จะทำได้เฉพาะข้อความที่ศาลเห็นว่าขัดต่อกฎหมายเป็นรายข้อความและไม่ปิดกั้นการสื่อสารในอนาคต เนื่องจากเนื้อหารัฐธรรมนูญ มาตรา 35 วรรคสอง คุ้มครองสิทธิของสื่อมวลชนในการเสนอข่าวสาร และมาตรา 36 คุ้มครองสิทธิในการสื่อสาร
สำหรับการไต่สวนจะดำเนินการภายใน 7 วัน นับจากวันที่ยื่นคำร้อง เพื่อให้สอดคล้องสร้างสมดุลระหว่างความเร็วที่กระทรวง DES ต้องทำหน้าที่การปราบปรามเว็บผิดกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ กับความเป็นธรรมพิจารณาโดยเปิดเผยให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาเข้าสู่การคัดค้าน ทั้งนี้แม้เน้นตามหลักการไต่สวน 2 ฝ่าย แต่มีข้อยกเว้นไต่สวนฝ่ายเดียวได้ในเหตุจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วน ตัวอย่างกรณีมีการเสนอข่าวว่าธนาคารแห่งหนึ่งกำลังจะล้ม ให้รีบไปถอนเงิน ขณะที่การยื่นคำคัดค้านจะขอขยายเวลาหรือขอเลื่อนวันไต่สวนได้หากมีเหตุจำเป็น
“ในมุมมองขององค์กรศาลเราเชื่อว่าถ้าประชาชนทุกฝ่ายรู้ว่ามีกระบวนการที่เป็นธรรมต่อเขา ประชาชนจะเชื่อฟังและศรัทธาในกระบวนการทำงานในกระบวนการของรัฐ และสิ่งนี้ในที่สุดแล้วจะสร้างความมั่นคงของรัฐในระยะยาว ยิ่งกว่าการปราบปราม ไม่ใช่เราไม่แคร์ความมั่นคง เราแคร์ความมั่นคง แต่เรามีมุมมองเกี่ยวกับความมั่นคงในอีกมุมหนึ่งด้วยในฐานะที่เป็นองค์กรตุลาการ คือมิติเรื่องความเป็นธรรม ถ้ามีความเป็นธรรมประเทศก็จะมั่นคง ซึ่งก็เป็นภาพที่องค์กรตุลาการทั่วโลกจะมองแบบที่เรามอง คำวินิจฉัยของศาลที่ออกไปในช่วงหลังที่แสดงว่าศาลให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่เพราะว่าศาลหยิบยกคุณค่าขึ้นมาตามอำเภอใจ แต่เป็นเพราะรัฐธรรมนูญกำหนดรับรองสิทธินี้ไว้ชัดเจนและกำหนดว่าการที่รัฐจะใช้เหตุผลอื่น ๆ รวมทั้งเรื่องความมั่นคงในการจำกัดสิทธินั้นเป็นข้อยกเว้น ดังนั้นศาลจึงตีความกฎหมายและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ”
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 2061 ครั้ง