มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1044 ครั้ง
“อลงกรณ์” ชี้ประกันรายได้ชาวนาเป็นธุระไม่ใช่ภาระของรัฐบาล พร้อมเร่งปฏิรูปข้าวสร้างศักยภาพใหม่ ย้ำเป็นนโยบายเรือธงของพรรคประชาธิปัตย์ 2 ปี สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 1 ล้านล้านบาท
วันนี้ (17 พ.ย.64) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็น 1 ใน 5 พืชเศรษฐกิจหลัก ภายใต้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยืนยันว่าไม่ใช่ภาระแต่เป็นธุระของรัฐบาลในการบริหารนโยบายให้สำเร็จตามที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นโครงการที่เกษตรกรพึงพอใจมากที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาล เพราะสามารถสร้างหลักประกันรายได้ (Universal basic income) จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในช่วงที่เกิดความผันผวนของราคาผลผลิตทางการเกษตรจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจวิกฤตไปทั่วโลก ถือเป็นนโยบายเรือธง (Flagship policy) ของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาล
โครงการประกันรายได้ชาวนาเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์แห่งอนาคตในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition period) ของการปฏิรูปภาคเกษตรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าว 5 ปี (2563-2567) มาแล้วตั้งแต่ปี 2563 ขับเคลื่อนด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” การผลิตมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนพัฒนาพันธุ์สร้างมาตรฐานเชื่อมโยง “กลางน้ำ” การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม และ “ปลายน้ำ” คือการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ทั้งตลาดในและต่างประเทศตามโมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด ภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้ได้ช่วยพัฒนาฐานะและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและครอบครัวเกือบ 30 ล้านคน เป็นภาคเศรษฐกิจที่มีแรงงานและการจ้างงานมากที่สุด ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญที่สุดของประเทศ ทำให้สามารถรักษาการผลิตสินค้าเกษตรสร้างรายได้ในการส่งออกให้กับประเทศของเราจนเป็นอันดับต้นของสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากมองในมุมของการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการนำรายได้เข้าประเทศในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่และภาคบริการเช่นการท่องเที่ยวมีตัวเลขการส่งออกที่ลดลงประการสำคัญคือ เงินประกันรายได้ที่เกษตรกรได้รับเกิดจากการทำงานแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินจากหยาดเหงื่อแรงกาย ไม่ใช่การแจกจ่ายแบบให้เปล่า (Free rider) จำนวนหลายแสนล้านบาทเหมือนโครงการอื่นๆ ของรัฐ
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ภาคเกษตรในรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำลังนำภาคเกษตรกรรมเข้าสู่มิติใหม่ โดยเฉพาะเกษตรอัจฉริยะแนวทางเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ที่ใช้บิ๊กดาต้า (Big Data) และดิจิตอลเทคโนโลยี (Digital Technology) รวมถึงการทำเกษตรแปลงใหญ่ ซึ่งพัฒนาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5,000 แปลง รวมพื้นที่กว่า 6 ล้านไร่ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน เน้นการบูรณาการความร่วมมือทำงานเชิงรุกกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคเกษตรกร ด้วยการสร้างกลไกเชิงโครงสร้างและระบบ เพื่อขับเคลื่อนด้วยแนวทางใหม่ๆ ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ ปฏิรูปภาคเกษตร 1. ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินการบริการประชาชนและการพัฒนาภาคเกษตรกรรม โดยการใช้เทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่อุปทานและมูลค่า (Supply-Value Chain) ตั้งแต่การผลิต การแปรรูปจนถึงการตลาด 3. ยุทธศาสตร์ 3S เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน (Safety-Security-Sustainability) 4. ยุทธศาสตร์บูรณาการเชิงรุก 5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) ภายใต้แนวทางศาสตร์พระราชา
“ในขณะที่เราประกันรายได้ชาวนาอีกด้านหนึ่ง เราก็เร่งปฏิรูปข้าวครบวงจรทั้งระบบ วันนี้นิคมอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปข้าวใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียนของเรา กำลังสร้างในเขตผลิตข้าวลุ่มเจ้าพระยา เราตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์ AIC) 77 จังหวัด คิกออฟพร้อมกันทั่วประเทศมาตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2563 ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ รวมทั้งการพัฒนา 12 พันธุ์ข้าว ตอบโจทย์ตลาดทั้งในและต่างประเทศ เราจะย่ำเท้าอยู่กับที่ปล่อยให้ปัญหาจมปลักอยู่ที่เดิม ชาวนาต้องติดหล่มความยากจนและหนี้สินเหมือนในอดีตอีกต่อไปไม่ได้” นายอลงกรณ์ กล่าว
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1044 ครั้ง