CPF ใช้หลัก Circular Economy บริหารจัดการน้ำ ปันน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรสู่เกษตรกร

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1591 ครั้ง

โครงการ “ปันน้ำปุ๋ยสู่ชุมชน” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ฟาร์มสุกรของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สานต่อโครงการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปันน้ำปุ๋ยที่ผ่านการบำบัดในระบบแก๊สชีวภาพ สู่บ่อบำบัดน้ำ ต่อไปสู่บ่อพักน้ำ โดยน้ำที่ผ่านการบำบัดจนได้มาตรฐานตามที่กฏหมายกำหนด ส่งต่อให้เกษตรกรนำไปใช้ในการเพาะปลูก อาทิ เมื่อปี 2564 ฟาร์มสุกรนพรัตน์ ฟาร์มสุกรปราจีนบุรี 1 ฟาร์มสุกรคอนสวรรค์ ฟาร์มสุกรอำนาจเจริญ โรงชำแหละสุกรสระแก้ว ฟาร์มสุกรนนทรี ปล่อยน้ำปุ๋ยให้เกษตรกรรวม 222,805 ลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 649 ไร่ ช่วยประหยัดค่าปุ๋ยได้ประมาณกว่า 5 แสนบาท เป็นต้น

ขณะที่ฟาร์มสุกรแห่งอื่นๆของซีพีเอฟ และคอมเพล็กไก่ไข่ของซีพีเอฟ 4 แห่ง คือ ฟาร์มสันกำแพง ฟาร์มวังทอง ฟาร์มจะนะ และฟาร์มหนองข้อง นำน้ำที่บำบัดแล้วให้เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้เช่นกัน

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรที่ขอรับปันน้ำปุ๋ยจากฟาร์ม ทั้งเกษตรกรที่เป็นรุ่นแรกๆและเกษตรกรรายใหม่ บอกว่า “น้ำปุ๋ย” เป็นตัวช่วยเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ช่วยลดต้นทุนในการเพาะปลูก อาทิ ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมันที่ต้องสูบน้ำมาใช้ โดยเฉพาะในช่วงแล้งที่ขาดแคลนน้ำ ปัจจุบัน น้ำปุ๋ยช่วยให้เกษตรกรหลายราย ไม่จำเป็นต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้อีกเลย สามารถวางแผนการจัดการผลผลิต และใช้ประสบการณ์ในอาชีพวางแผนการนำน้ำปุ๋ยมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับสภาพของพื้นที่ และชนิดของพืชที่ปลูก

“พรทิพย์ ขุนศรีภิรมณ์” อายุ 55 ปี มีอาชีพทำนา ทำไร่ ใช้น้ำปุ๋ยของฟาร์มสุกรนนทรี ซึ่งเป็นฟาร์มสุกรของซีพีเอฟในจังหวัดปราจีนบุรี กับไร่อ้อยและแปลงข้าวโพด ช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อย จากปกติไร่ละ 8 ตัน เป็นไร่ละ 12 ตัน และทำให้สามารถปลูกข้าวโพดในช่วงแล้งได้จากการที่ได้รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มมาใช้ เพิ่มรายได้ในช่วงแล้งที่ไม่สามารถปลูกพืชได้ และยังช่วยลดต้นทุนเรื่องค่าน้ำมันในการสูบน้ำมารดพืชที่ปลูก

พรทิพย์ เล่าว่า นำน้ำปุ๋ยมาใช้กับไร่อ้อยในช่วงแล้งหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ต้นอ้อยแตกกอดี โดยปกติจะใส่ปุ๋ยเคมีไร่ละ 2 กระสอบ แต่มีน้ำปุ๋ย ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงเหลือใช้เพียง 0.5 กระสอบต่อไร่ เช่นเดียวกับแปลงข้าวโพด ที่ปกติจะใส่ปุ๋ยเคมี 1.5 กระสอบต่อไร่ แต่เมื่อใช้น้ำปุ๋ยที่ฟาร์มปล่อยให้ที่แปลงข้าวโพดแล้ว ปัจจุบันเหลือใช้ปุ๋ยเพียงไร่ละ 0.5 กระสอบ

“สาคร คงโนนนอก” อายุ 58 ปี อาชีพทำนา ทำไร่ ใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรนนทรีของซีพีเอฟกับนาข้าว ช่วยให้ต้นข้าวสมบูรณ์ในช่วงขาดน้ำและในช่วงที่ต้นข้าวแตกกอ วิธีการที่สาครนำน้ำปุ๋ยมาใช้ คือ นำน้ำปุ๋ยมาผสมกับน้ำฝนที่กักเก็บไว้ใส่ในแปลงนาเพื่อเพิ่มปุ๋ยให้ต้นข้าว ส่วนที่แปลงข้าวโพด น้ำปุ๋ยช่วยให้สามารถปลูกข้าวโพดได้ในช่วงแล้ง โดยจะปล่อยน้ำปุ๋ยจากฟาร์มลงในแปลงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของดิน ให้ต้นข้าวโพดดูดซึมน้ำปุ๋ยไปใช้ได้เลย ซึ่งหลังจากใช้น้ำปุ๋ยของฟาร์ม ช่วยประหยุดค่าปุ๋ยที่เคยใช้ในไร่ข้าวจาก 1 กระสอบต่อไร่ เหลือ 0.5 กระสอบต่อไร่ และแปลงข้าวโพดจากที่เคยต้องใช้ปุ๋ย 1.5 กระสอบต่อไร่ ลดเหลือเพียง 0.5 กระสอบต่อไร่ นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันในการสูบน้ำมารดข้าวและข้าวโพดที่ปลูก

“อรชร มาโง้ว” อายุ 58 ปี อาชีพทำสวน ปลูกผักสวนครัว ได้รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรปราจีนบุรี 1 มา 12 ปีแล้ว เพื่อรดแปลงผัก และเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มเพื่อใช้รดต้นโกโก้ 2 ไร่ อรชร บอกว่า น้ำปุ๋ยช่วยได้มาก ต้นโกโก้เติบโตได้ดี ในช่วงแล้งขาดน้ำก็ได้น้ำปุ๋ยมาช่วย เธอใช้น้ำปุ๋ยผสมกับน้ำฝนเพื่อรดต้นโกโก้เป็นการเพิ่มปุ๋ยภายในดิน และใช้น้ำปุ๋ยรดแปลงผักสวนครัวทุกวันแทนการใช้น้ำฝนและน้ำบ่อ น้ำปุ๋ยช่วยลดต้นทุนที่ต้องซื้อดินมาปลูกรองก่อนลงต้นโกโก้ จากเดิมที่ต้องใช้ดินปลูกรองก่อนลงต้น 15 กระสอบต่อไปไร่ ปัจจุบันคือใช้น้ำปุ๋ยแทน ไม่ต้องซื้อดินปลูกรองก่อนลงต้นแล้ว

เช่นเดียวกับ “ประเสริฐ เอี่ยมอ่อง” อายุ 67 ปี อาชีพทำไร่ อีกคนหนึ่งที่ใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรปราจีนบุรี 1 ในการเพาะปลูกป่ายูคาลิปตัส 20 ไร่ และทำแปลงผักสวนครัว มาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว ได้ประโยชน์จากน้ำปุ๋ยที่ช่วยให้สามารถปลูกป่ายูคาฯได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงแล้งขาดแคลนน้ำ รวมทั้งใช้น้ำปุ๋ยกับแปลงผักสวนครัวที่ปลูกไว้ ทำให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี ประเสริฐ บอกว่า เค้าใช้วิธีปล่อยน้ำปุ๋ยเพื่อปรับสภาพดินก่อนเพาะปลูก ทำให้ดินมีธาตุอาหารและร่วนซุย น้ำปุ๋ยยังใช้ทดแทนการใช้น้ำฝนหรือน้ำบ่อเพื่อรดแปลงผักได้ ค่าใช้จ่ายที่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีเพื่อปลูกป่ายูคาฯลดลง จากที่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี 5 กระสอบต่อไร่ เหลือเพียง 1 กระสอบต่อไร่ หรือบางครั้งก็ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเลย

วรวิท แก้วสุนทร อายุ 55 ปี อาชีพทำนาทำไร่ ได้รับน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงชำแหละสระแก้วของซีพีเอฟ เพื่อการปลูกอ้อยมาแล้ว 4 ปี หลังจากนำน้ำปุ๋ยมาใช้กับไร่อ้อย ช่วยให้อ้อยแตกกอได้ดีในช่วงแล้ง ช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยจากปกติไร่ละ 10 ตัน เพิ่มเป็นไร่ละ 12 ตัน และยังช่วยรดต้นทุนค่าน้ำ ค่าปุ๋ย จากปกติที่จะต้องใส่ปุ๋ยเคมี 3 กระสอบต่อไร่ หลังจากได้น้ำปุ๋ยจากโรงชำแหละสระแก้ว ลดการใช้ปุ๋ยได้ 1 กระสอบต่อไร่ ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก

นอกจากโครงการ ปันน้ำปุ๋ยสู่ชุมชน จะเอื้อประโยชน์สู่เกษตรกรในแง่ของการช่วยลดต้นทุนในการเพาะปลูกลงแล้ว โครงการดังกล่าวยังเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำในองค์กร และนำน้ำที่บำบัดแล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อีก กับเกษตรกรรอบฟาร์มและโรงงาน รวมทั้งยังร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมจากการที่เกษตรกรลดใช้ปุ๋ยเคมีอีกด้วย

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1591 ครั้ง

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

แสดง
ซ่อน