มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 994 ครั้ง
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.65 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานเสวนาเคมีพระเอกหรือผู้ร้าย ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “อินทรีย์-เคมี โอกาสของไทย ภายใต้วิกฤตอาหารโลก” ซึ่งจัดโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย และเกษตรกรผู้ปลูกผักแบบ GAP พร้อมด้วย นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล ประธานกิตติมศักดิ์ กรรมการคณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายสุภัค เหล่าดี เลขานุการฝ่ายวิชาการ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย, ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย, นายสุรวุฒิ ศรีนาม เกษตรกรผู้ปลูกผักมาตรฐาน GAP ผู้แทนภาคเอกชน ภาครัฐ เกษตรกร และผู้แทนพรรคการเมือง เช่น นายอลงกรณ์ พลบุตร พรรคประชาธิปัตย์, นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง พรรคภูมิใจไทย นางสาวสกุณา สาระนันท์ พรรคเพื่อไทย และ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด พรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และหาทางออกในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ใช้ปัจจัยการผลิต ปุ๋ย และสารเคมีเกษตร เพื่ออาหารปลอดภัย ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภายใต้วิกฤติโควิด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารและราคาอาหารแพงขึ้น ทำให้โลกเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นโอกาสในวิกฤติของไทย ในฐานะที่เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรชั้นนำของโลกและเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ 12 ของโลกจากกว่า 200 ประเทศ เพื่อตอบโจทย์โอกาสแห่งอนาคต พรรคประชาธิปัตย์ จึงกำหนดแนวทางในการพัฒนาภาคเกษตรด้วย 5 เป้าหมายในการสร้างมิติใหม่จากครัวไทยสู่ครัวโลก ได้แก่ 1. เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยท็อปเทนของโลก 2. เพิ่มรายได้เกษตรกร เพิ่มรายได้ส่งออกอาหาร 2 ล้านล้านภายในปี 2030 3. ประเทศชั้นนำเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองและชนบท 4. ลดก๊าซเรือนกระจกแก้ปัญหาโลกร้อน ตอบโจทย์ Climate Change 5. ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ขจัดความอดอยากหิวโหย
ทั้งนี้ มีนโยบายหลักๆ ที่ยกมาเป็นตัวอย่างเช่น 1. นโยบายประกันรายได้เกษตรกรสู่การเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนด้วยการต่อยอดพัฒนาสู่เกษตรมูลค่าสูง 2. นโยบายส่งเสริมเกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน บนฐานคุณภาพ และมาตรฐานสินค้าเกษตร 3. นโยบายตลาดนำการผลิต และระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair trade) 4. นโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรเพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลิตภาพการผลิต (productivity) 5. นโยบายอาหารแห่งอนาคตเป็นทางเลือกใหม่ในการผลิตสินค้าเกษตร เช่นโปรตีนทางเลือกใหม่ ได้แก่ โปรตีนแมลง โปรตีนพืช สาหร่าย ผำ เห็ด เป็นต้น 6. นโยบายโลจิสติกส์เกษตรเชื่อมไทยเชื่อมโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการเปิดประตูการค้าใหม่ เช่น เกตเวย์อีสาน-เหนือ-ใต้-ออก-ตก รวมทั้งเส้นทางขนส่งใหม่ๆ เช่น เส้นทางรถไฟจีน-ลาว
สำหรับประเด็นเรื่องเกษตรเคมีและเกษตรอินทรีย์ จะขับเคลื่อนสนับสนุนส่งเสริมเกษตรปลอดภัยด้วย 3 แนวทางไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ 1. เกษตรอินทรีย์ 2. เกษตรเคมี-อินทรีย์ 3. เกษตรเคมี ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม 1. เกษตรรายย่อย 2. เกษตรพาณิชย์ 3. เกษตรอุตสาหกรรม 4. เกษตรส่งออก โดยจะส่งเสริมให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจเกษตรหรือนิคมเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อเป็นฐานการแปรรูปอาหารปลอดภัยใน 18 กลุ่มจังหวัด ตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ เพื่อกระจายโอกาส การค้า การลงทุน และการจ้างงาน ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ
“ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีที่เป็นธาตุอาหารของพืชเมื่อปีที่แล้วกว่า 5 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 100% ขณะที่มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพปีละ 2 ล้านตัน มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.3 ล้านไร่ จากพื้นที่เกษตรทั้งประเทศ 149 ล้านไร่ กลุ่มเกษตรอินทรีย์และกลุ่มเกษตรเคมี จึงควรหันหน้าร่วมมือกันให้มากขึ้น โดยยึดแนวทางเกษตรปลอดภัยสู่เกษตรมูลค่าสูงเป็นสำคัญด้วยมาตรการ GAP และเกษตรกรรมยั่งยืน โดยเฉพาะในภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลกถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยทางด้านการส่งออกสินค้าเกษตรในฐานะครัวโลก” นายอลงกรณ์ กล่าวในท้ายที่สุด
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 994 ครั้ง