มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1278 ครั้ง
กระทรวงสาธารณสุข จับมือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผนึกพลัง สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ประกาศ 155 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เป็นสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่
วันนี้ (5 ก.ค.65) นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข, รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ และอธิการบดี 155 แห่งทั่วประเทศ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือการขับเคลื่อนการดำเนินงานสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในสังกัดและกำกับกระทรวงให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อพิจารณาอัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชนอายุ 20-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังศึกษาในระดับอุดมศึกษา พบว่า ปี พ.ศ. 2564 มีเยาวชนที่สูบบุหรี่ จำนวนเกือบ 900,000 คน คิดเป็นอัตราการสูบบุหรี่ ร้อยละ 18.5 ซึ่งลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการสูบบุหรี่ในปี พ.ศ. 2560 ที่มีอัตราการสูบบุหรี่ เท่ากับร้อยละ 20.7 แม้ทิศทางการสูบบุหรี่ของเยาวชนไทยจะลดลง แต่เมื่อพิจารณากลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจยาสูบ จะพบว่าปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆ ที่พยายามเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชน และยังมีการโฆษณาสื่อสารการตลาดและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ในช่องทางที่หลากหลาย โดยเฉพาะการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยากต่อการควบคุม ดังนั้น หากขาดการดำเนินมาตรการควบคุมยาสูบในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เยาวชนเหล่านี้กลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ในอนาคตได้ และนั่นแสดงให้เห็นว่า สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองของนิสิต/นักศึกษา อาจารย์และบุคลากรของสถานศึกษา ซึ่งนำไปสู่การเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในอนาคตได้ไม่แตกต่างจากการสูบบุหรี่อีกด้วย
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลสู่การป้องกันมิให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ในกลุ่มเยาวชนระดับอุดมศึกษา รวมถึงการคุ้มครองสุขภาพของนิสิต/นักศึกษา อาจารย์และบุคลากร ของสถานศึกษาไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการได้รับควันบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดควันบุหรี่ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาต่อไป
ด้าน รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษาฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงาน ทั้งเชิงนโยบายและการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิด “สถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่” โดยกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และสถาบันอุดมศึกษา จะร่วมมือขับเคลื่อนงาน ดังนี้
1. ประกาศนโยบายเป็นสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ พร้อมทั้งให้มีการจัดสิ่งแวดล้อมปลอดบุหรี่ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ
2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดระบบหรือกิจกรรมการให้บริการคัดกรอง บำบัด ฟื้นฟู หรือส่งต่อผู้สูบบุหรี่ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ทุกรูปแบบตามความเหมาะสม
3. ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร นิสิตนักศึกษาให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาปลอดบุหรี่และปลอดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ รวมทั้ง ให้มีการสอดแทรกเนื้อหาหรือหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดการความรู้ งานวิจัย หรือนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาปลอดบุหรี่
4. ปฏิเสธการรับทุนอุปถัมภ์ หรือการสนับสนุนใด ๆ จากผู้ประกอบธุรกิจยาสูบและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบในรูปแบบต่าง ๆ สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งพร้อมจะให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานอย่างเต็มที่เพื่อคุณภาพชีวิตของนิสิตนักศึกษา และสิ่งแวดล้อมที่ดีในสถาบันอุดมศึกษาต่อไป
โดย ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เป็นองค์กรที่มีสมาชิกประกอบด้วยบุคลากรหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น องค์กรวิชาชีพแพทย์ องค์กรวิชาชีพสุขภาพ องค์กรด้านการศึกษา ด้านแรงงาน เครือข่ายพระสงฆ์ สื่อสารมวลชน ศิลปินดารา มูลนิธิ ราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคม และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศรวม 966 องค์กร ที่ช่วยกันรณรงค์คุ้มครองสุขภาพของประชาชนให้ปลอดภัยจากโรคที่เกิดจากบุหรี่
ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี กล่าวต่อว่า สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติ ได้ร่วมกับ เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ จัดทำโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ปลอดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาวะขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เพื่อสนับสนุนให้ทุกสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย มีการผลักดันนโยบายสถาบันการอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ เพื่อสุขภาวะ และลดพฤติกรรมเสี่ยงอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม และต่อเนื่อง อีกทั้งร่วมกันสร้างเสริมสุขภาพของนิสิต นักศึกษา บุคลากรทุกฝ่ายทุกระดับในสถาบันอุดมศึกษา, ชุมชนรอบสถาบันอุดมศึกษา ตลอดจนมีการปฏิบัติตามกฎหมาย และมีศักยภาพในการลดพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งการสร้างสุขภาวะ
ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ปลอดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาวะได้จัดทำคู่มือเกณฑ์มาตรฐานพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่เพื่อสุขภาวะ และได้จัดอบรมหลักสูตรต่าง ๆ มากมายให้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ แม้กระทั่งหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ ระบบบริการเลิกยาสูบในสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ อีกทั้งมีการเยี่ยมชมสถานที่ การให้คำแนะนำในการจัดสถานที่ปลอดบุหรี่ตามกฎหมาย และแนะนำเทคนิคการทำให้นิสิต นักศึกษา บุคลากร ลดปริมาณการสูบลงอีกด้วย และเรื่องใหม่ที่พยายามเน้นย้ำกับสถาบันอุดมศึกษาในการอบรมทุก ๆ ครั้ง ก็คือการช่วยกันป้องกันนิสิต นักศึกษา บุคลากร จากบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยขณะนี้ต้องเรียกว่า “วิกฤตสุขภาพเยาวชนไทย จากภัยบุหรี่ไฟฟ้า” ด้วยงานวิจัยจากศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) โดยกลุ่มตัวอย่างวัยอุดมศึกษาจำนวน 1,203 ราย ปรากฏว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 45 โดยเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพราะอยากลอง และได้รับการสื่อสารว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ที่ยังคงสูบบุหรี่ไฟฟ้าจนถึงปัจจุบันเพราะมีกลิ่นและรสหลายหลาย
“ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างได้รับอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์มที่พบผู้ค้ามากที่สุด คือ Website รองลงมา คือ Line, Youtube, Facebook, Twitter และ Instagram ตามลำดับ ทำให้เข้าถึงและซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากช่องทางออนไลน์มากที่สุด และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือผู้ที่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสที่จะเริ่มต้นสูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่เคยลองใช้เกือบ 4 เท่า สิ่งที่กล่าวมานี้ถือได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงานในวันนี้ขึ้น เพียงหวังว่าสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งที่ร่วมลงนามในครั้งนี้ จะร่วมกันพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้เป็นสถานบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้เยาวชนไทยเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพที่ดี และมีสุขภาพที่ดี เพราะเยาวชนไทยในวันนี้คือผู้ที่กำหนดอนาคตประเทศไทยในวันข้างหน้า” ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี กล่าวทิ้งท้าย
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1278 ครั้ง