มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 888 ครั้ง
พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางไปเยี่ยมอำลากองทัพเรือ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการบนเรือหลวงนเรศวร ซึ่งจอดเทียบภายในท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งจัดให้มีพิธีเพื่อเป็นเกียรติแก่ปลัดกระทรวงกลาโหม
เมื่อปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางขึ้นเรือหลวงนเรศวร ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เรียนเชิญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นแท่นรับความเคารพ โดยมี เรือหลวงปิ่นเกล้ายิงสลุต เพื่อเป็นเกียรติ จำนวน 19 นัด จากนั้น ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ลงจากเรือ ไปยังเรือ ต.112 เพื่อตรวจพลสวนสนามทางเรือ เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจพลสวนสนามทางเรือแล้ว ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เรียนเชิญ ปลัดกระทรวงกลาโหม กลับขึ้นยังเรือหลวงนเรศวร ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวสดุดีและมอบของที่ระลึกแด่ปลัดกระทรวงกลาโหม
โดยใจความสำคัญที่ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวเทิดเกียรติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่า “ในโอกาสที่ครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2565 นี้ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ท่านดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ท่านได้สร้างคุณประโยชน์เป็นอเนกประการแก่หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะเหล่าทัพต่างๆ ตามเจตนารมณ์ในการทำงานของท่านที่ว่าประโยชน์ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมมีคุณธรรม
ในส่วนของกองทัพเรือ ท่านกรุณา ได้มาเยี่ยมชมและประชุมร่วมกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือและฝ่ายอำนวยการต่างๆ ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน ได้รับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อขัดข้องของกองทัพเรือ ท่านได้ ช่วยผลักดันให้โครงการต่างๆ ของกองทัพเรือ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้น ยังให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์และเป็นแนวทางในการบูรณาการ การมีส่วนร่วมระหว่างกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพต่างๆ อีกด้วย แนวทางและการสนับสนุนของท่าน ให้ช่วยในการพัฒนาขีดความสามารถด้านยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งพัฒนาหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้เป็นสถาบันที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี มีความเข้มแข็ง เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำที่เป็นต้นแบบในการปกป้องและเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนสูงสุดของปวงชนชาวไทย”
ในการนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวขอบคุณกองทัพเรือ พร้อมทั้งให้โอวาทแก่กำลังพล ที่เข้าร่วมในพิธีว่า “การเข้าร่วมพิธีสวนสนามทางเรือ ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดที่กองทัพเรือจัดให้ผมในโอกาสครบเกษียณอายุราชการในปีนี้ ขอขอบคุณในคำกล่าวสดุดีของท่านผู้บัญชาการทหารเรือ ที่มีความซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างยิ่งต้องขอชื่นชมกองทัพเรือ ที่เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งมีเกียรติประวัติมาอย่างยาวนาน เรามียุทธนาวีหลายยุทธนาวีทางกองทัพเรือสามารถที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยมีเอกราชยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน ผมขอให้กำลังพลของกองทัพเรือทุกนาย ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษของกองทัพเรือที่ดำรงความเข้มแข็งของกองทัพเรือมาจนถึงปัจจุบัน และผมมีความมั่นใจว่าภายใต้การนำของท่านผู้บัญชาการทหารเรือท่านปัจจุบัน ผู้บัญชาการทหารเรือท่านใหม่ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาในกองทัพเรือทุกระดับชั้น จะสามารถนำพากองทัพเรือให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเป็นกองทัพเรือที่มีความพร้อมในการที่จะปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศชาติไทย
ปัจจุบันสถานการณ์ด้านความมั่นคงมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งของประเทศไทยที่เราจะต้องทำหน้าที่ของเราเพื่อให้เราสามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้อย่างมั่นคงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนชาวไทย ผมมั่นใจว่ากองทัพเรือจะสามารถที่จะพัฒนาก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ถึงแม้ผมจะเกษียณอายุราชการไปแล้วในระยะเวลาอันใกล้นี้ ก็จะขอเป็นกำลังใจและเฝ้าดูความเจริญเติบโตของกองทัพเรือ รวมทั้งข้าราชการในกองทัพเรือ ที่จะช่วยกันเสริมสร้างพัฒนากองทัพเรือให้มีความเข้มแข็ง เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชนและเป็นหลักชัยให้กับประเทศไทยต่อไป”
การจัดพิธีในวันนี้ มีการจัดกำลังพลจากกองเรือยุทธการ ร่วมกับ กำลังทางเรือ และอากาศยาน เข้าร่วมในพิธี โดยหมู่เรือรับรอง ประกอบด้วย เรือหลวงนเรศวรเป็นเรือรับรอง และ เรือ ต.112 เป็นเรือตรวจพล เรือหลวงปิ่นเกล้า เป็นเรือยิงสลุต ในส่วนของหมู่เรือสวนสนาม (เรือจอด) ประกอบด้วย เรือหลวงปิ่นเกล้าเป็นเรือยิงสลุต ร่วมด้วย เรือหลวงบางปะกง เรือหลวงรัตนโกสินทร์ เรือหลวงสุโขทัย นอกจากนั้นยังมีการจัดกำลังอากาศนาวีจากกองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ เข้าร่วมในการสวนสนามในวันนี้
พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2505 เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20 นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 31 และขณะศึกษาได้รับคัดเลือก ให้เป็นหัวหน้านักเรียนนายร้อย เมื่อจบการศึกษาและได้รับการบรรจุเป็นนายทหารแล้ว ได้เข้ารับการศึกษา ในหลักสูตรตามแนวทางรับราชการ อาทิ หลักสูตรชั้นนายร้อยและชั้นนายพันเหล่าทหารปืนใหญ่ หลักสูตรเสนาธิการทหารบกหลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 71, หลักสูตร International Defence Management Course (U.S.A) และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 58 ด้านชีวิตรับราชการ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อ ปี พ.ศ.2527 ได้รับการบรรจุในหน่วยทหารปืนใหญ่ ตำแหน่งผู้ตรวจการณ์หน้า กองร้อยทหารปืนใหญ่ กองพันทหารปืนใหญ่ ที่ 21 รักษาพระองค์ และได้รับตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยในปี พ.ศ.2531
ซึ่งในห้วงปี พ.ศ.2530 – 2533 ได้มีโอกาสปฏิบัติราชการพิเศษเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ กองกำลังบูรพา ตามแผนป้องกันประเทศชายแดนไทย – กัมพูชา ในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ และอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว และในปี พ.ศ.2534 ได้รับตำแหน่งนายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 21 รักษาพระองค์ ในปี พ.ศ.2543 – 2546 เป็น ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงแคนเบอร์รา และรักษาราชการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวลลิงตัน ปี พ.ศ.2548 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองแผนและฝึก กรมข่าวทหารบก และมีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งต่าง ๆ ที่กรมข่าวทหารบก ตามลำดับ อาทิ รองผู้บัญชาการโรงเรียนข่าวทหารบก, ผู้อำนวยการสำนักวิเทศสัมพันธ์ กรมข่าวทหารบก, รองเจ้ากรมข่าวทหารบก และ เจ้ากรมข่าวทหารบก ก่อนขึ้นดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารบก ในปี พ.ศ. 2563 จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ พลเอก วรเกียรติ ฯ มีเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้เป็นองค์กรที่มีบทบาท ในด้านการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ ด้านการทหารและความมั่นคง ด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมในการอำนวยการประสานงานและกำกับดูแล เพื่อให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลัก ด้านการป้องกันประเทศ การแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ การพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ การพิทักษ์รักษาปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การสนับสนุนรัฐบาลในการขับเคลื่อนและปฏิรูปพัฒนาเพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือ “ประเทศมั่นคง ประชาชนมีความมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน”
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 888 ครั้ง