ผบ.ทร. ต้อนรับ เหลนนายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ ผู้มีบทบาทพัฒนากองทัพเรือ

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 384 ครั้ง

ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้การต้อนรับ Mr. Andreas Hastrup ทายาทลำดับเหลนของนายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดูว์ แปลซี เดอ ริเชอลีเยอ) ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากองทัพเรือไทย

          วันนี้ (9 ก.พ.66) พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้การต้อนรับ Mr. Andreas Hastrup ชาวเดนมาร์ก ทายาทลำดับเหลนของ นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากองทัพเรือ ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชเดิม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหมายให้ พลเรือโท ชาติชาย ทองสะอาด รองเสนาธิการทหารเรือ นำชมพระราชวังเดิมกรุงธนบุรี ที่ นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ก่อนเดินทางไปเยี่ยมชมป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่ง นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ เคยทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบและจัดหาปืนเสือหมอบมาติดตั้ง เพื่อปกป้องอธิปไตยของสยามประเทศในเหตุการณ์ ร.ศ.112 โดยก่อนหน้านี้ Mr. Andreas Hastrup ได้มอบเครื่องแบบของ นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ จำนวน 5 ชุด ให้แก่กองทัพเรือ เพื่อนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559

          นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ นามเดิม อองเดร ดูว์ แปลซี เดอ ริเชอลีเยอ เป็นชาวเดนมาร์ก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับปรุงกิจการทหาร กัปตันริเชอลีเยอ ซึ่งจบการศึกษาในวิชาการทหารเรือ มีความประสงค์ที่จะเข้ามาทำงานในประเทศสยาม จึงได้ขอรับพระราชทานพระราชหัตถเลขาจากพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ก เพื่อใช้ประกอบในการสมัครรับราชการ โดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการเป็นผู้บังคับการเรือพิทยัมรณยุทธ ตั้งแต่ วันที่ 3 เมษายน 2418 และนำนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสไปตรวจสุริยุปราคาแถวชายฝั่งมลายู หลังจากนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์และเรือสยามมงกุฎไชยสิทธ์ออกไปรักษาการที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยที่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ขณะปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนั้น ได้เกิดการจลาจลที่จังหวัดระนอง ซึ่งกัปตันริเชอลีเยอได้มีส่วนร่วมในการปราบจลาจลดังกล่าว

          จากผลงานการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเข้มแข็ง หลวงชลยุทธโยธินทร์ จึงมีความก้าวหน้าในการรับราชการตามลำดับ โดยใน พ.ศ.2421 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงชลยุทธโยธินทร์” ดำรงตำแหน่ง “ปลัดกรมแสง” ปี พ.ศ.2425 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระชลยุทธโยธินทร์” พ.ศ.2426 ได้รับพระราชทานยศเป็น “นายเรือเอก” (เทียบเท่านาวาเอก ในปัจจุบัน) พ.ศ.2430 ได้รับตำแหน่ง “ปลัดทัพเรือ” พ.ศ.2431 ได้รับพระราชทานยศ “นายพลเรือจัตวา” พ.ศ.2434 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาชลยุทธโยธินทร์” พ.ศ.2440 ได้รับพระราชทานยศ “นายพลเรือตรี” พ.ศ.2441 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง “รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ” พ.ศ.2443 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง “ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ”

          พระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้ปฏิบัติราชการสำคัญในกองทัพเรือ อาทิ ผู้อำนวยการสร้างเรือพระที่นั่งมหาจักรี (ลำที่ 1) เรือพาลีรั้งทวีป และ เรือสุครีพครองเมือง จากประเทศอังกฤษ ยังได้ขอพระราชทานพระราชวังเดิม เป็นที่ก่อตั้งโรงเรียนนายเรือ ซึ่งตามหลักฐานที่ปรากฎ ใน พ.ศ.2433 (ร.ศ.109) ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาการทหารเรือขึ้นที่บริเวณพื้นที่วัดวงศมูลวิหาร จนถึง พ.ศ.2442 (ร.ศ.118) จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนนายเรือขึ้นที่วัดวงศมูลวิหาร และยังได้ใช้เรือรบหลวงต่าง ๆ เป็นที่จัดการเรียนการสอนของนักเรียนนายเรือ อาทิ เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือพระที่นั่งมหาจักรี (ลำที่ 1) เนื่องจากสถานที่คับแคบจึงได้มีการย้ายโรงเรียนนายเรือไปยังวังนันทอุทยาน ต่อมาในขณะที่นายพลเรือตรี พระยาชลยุทธโยธินทร์ ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารเรือ ได้เล็งเห็นว่าการที่โรงเรียนนายเรือไม่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง เป็นข้อจำกัดทางด้านการศึกษา จึงได้ริเริ่มในการจัดหาที่ตั้งโรงเรียนนายเรือให้เป็นหลักเป็นฐาน โดยเห็นว่าพื้นที่พระราชวังเดิมเป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสม เนื่องด้วยมีที่ตั้งที่อยู่ติดแม่น้ำสามารถนำเรือมาเทียบและทำการฝึกได้ อีกทั้งมีที่ตั้งอยู่ใกล้ส่วนบัญชาการ สามารถกำกับดูแลปกป้องรักษาได้ง่าย จึงได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานที่ดินดังกล่าว พระองค์ได้พระราชทานที่ดินพระราชวังเดิมให้กรมทหารเรือก่อตั้งโรงเรียนนายเรือเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 (ร.ศ.119) ในขณะที่ทำการซ่อมแซมอาคารสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในพระราชวังเดิม โรงเรียนนายเรือได้ย้ายไปอยู่ที่สุนันทาลัยชั่วคราว ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2446 (ร.ศ.121) จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2446 (ร.ศ.122) การซ่อมแซมจึงแล้วเสร็จ โรงเรียนนายเรือจึงได้ย้ายมาที่พระราชวังเดิม และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2449

          นอกจากนั้น นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ ยังมีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ ร.ศ.112 โดยทำหน้าที่ผู้อำนวยการป้องกันปากแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ โดยได้ออกแบบ และจัดหาปืนเสือหมอบ มาติดตั้ง ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า

          ในด้านกิจการไฟฟ้าและรถราง เมื่อรัฐบาลสยามและผู้ประกอบการเอกชนประสบปัญหาขาดทุน และค่าใช้จ่ายในการเช่าเครื่องจักรไฟฟ้าที่ปรับราคาสูงขึ้น พระยาชลยุทธโยธินทร์ได้ระดมทุนจากชาวเดนมาร์ก ในการร่วมดำเนินการกิจการไฟฟ้าให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการดำเนินกิจการรถรางขึ้นในกรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมาได้รับเกียรติให้ใช้นาม “ชลยุทธโยธินทร์” เป็นนามเรือยนต์พระที่นั่ง (ปลดระวางเมื่อ 8 สิงหาคม 2466)

          ต่อมาใน 25 มกราคม พ.ศ.2444 นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้กราบบังคมทูลลาออกจากราชการ เนื่องด้วยมีปัญหาด้านสุขภาพ ได้เดินทางกลับไปรักษาตัวที่ประเทศเดนมาร์คและได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อ 25 มีนาคม 2474 สิริอายุ 79 ปี

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 384 ครั้ง

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

แสดง
ซ่อน