มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 304 ครั้ง
วันนี้ (12 มิ.ย.66) นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.หลายสมัย เขียนเฟสบุ๊ควิเคราะห์คดีหุ้นไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เรื่อง “กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” โดยสรุปว่านายพิธาไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จึงไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151 และชี้ว่าคดีนี้จะจบลงในชั้น กกต. ภายใน 45 วัน โดยมีข้อความดังนี้
ผมติดตามเรื่องหุ้นไอทีวี และมีความเห็นส่วนตัวในฐานะอดีต ส.ส. และอดีตรัฐมนตรี จึงขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในข้อเขียนสั้นๆ เรื่อง “กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” ดังนี้ครับ
“กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98(3) ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัคร ส.ส. โดยระบุว่า “ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”
ดังนั้นกฎหมายลูกคือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า “..ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร … (ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)
กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่
เรื่องนี้มีหลายมุมมอง แต่สำหรับผมมีความเห็นดังนี้ครับ
1. ประเด็นหุ้นไอทีวี ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์คือ หุ้นไอทีวี เป็นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือเป็นของกองมรดกที่นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด
2. การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวีของนายพิธา คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก
3. จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่ายได้ความว่า นายพิธาถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดกไม่ใช่ถือในนามส่วนตัว และในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้วซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี 2550
4. เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงสรุปได้ว่า นายพิธาไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151
5. ดังนั้นประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวีจะปิดสำนวนในชั้น กกต. ภายใน 30 วัน หรือ 45 วัน
การพิจารณาประเด็นหุ้นไอทีวี ต้องยึดหลักความยุติธรรม โปร่งใส เป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง
ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแข่งขันกับนายพิธา และพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรม เมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกับใครก็ตามแม้แต่คู่แข่งทางการเมือง เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในวันนี้และวันข้างหน้าครับ
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 304 ครั้ง