มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 368 ครั้ง
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 เม.ย.67 ที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในโครงการ “Mahabbah Ramadan อ้อมกอดแห่งรอมฎอนสู่เรือนจำ” พร้อมด้วย นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ร่วมเป็นเกียรติในพิธี โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ นายเทวพงศ์พันธ์ เมืองยม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ
โดย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ โดยเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดโครงการ “Mahabbah Ramadan อ้อมกอดแห่งรอมฎอนสู่เรือนจำ” อันเนื่องในโอกาสแห่งเดือนรอมฎอนอันประเสริฐที่มุสลิมทั่วโลกร่วมปฏิบัติศาสนกิจ เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในเรือนจำทั่วประเทศที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังมุสลิมได้ร่วมปฏิบัติศาสนกิจถือศีลอด เพื่อให้เป็นไปตามศาสนบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ โดยปัจจุบันเรือนจำฯ มีผู้ต้องขังที่นับถือศาสนาอิสลาม จำนวนทั้งสิ้น 122 คน (ชาย 95 คน หญิง 27 คน) จากผู้ต้องขังทั้งหมด 2,204 คน โดยเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของผู้ต้องขังที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม นอกจากนี้การถือศีลอดยังส่งผลต่อผู้ปฏิบัติในด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ และฝึกความอดทน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเสียสละและรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ได้ตระหนักในคุณค่าและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม รวมทั้งการส่งเสริมให้เรือนจำ / ทัณฑสถานต่าง ๆ นำหลักคำสอนทางศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในกระบวนการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังให้สอดคล้องกับความเชื่อในศาสนาของตน อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคคลในภาคสังคมภายนอก ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นกำลังใจแก่ผู้ต้องขังในการทำความดี เปรียบเสมือนอ้อมกอดอันอบอุ่นจากสังคมที่ยังโอบอุ้มและให้โอกาสผู้ต้องขังได้พร้อมกลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง
โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีผู้ต้องขัง ที่เข้าร่วมโครงการ “Mahabbah Ramadan อ้อมกอดแห่งรอมฎอนสู่เรือนจำ” จำนวนทั้งสิ้น 317 คน จากเรือนจำและทัณฑสถานในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 4 แห่ง แบ่งเป็น เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 122 คน เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา 80 คน ทัณฑสถานวัยหนุ่มพระนครศรีอยุธยา 75 คน และทัณฑสถานบำบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยา 40 คน สอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการ ประจำปี พ.ศ. 2567 ของกระทรวงยุติธรรม ด้านการพัฒนาระบบหรือโปรแกรมการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และพัฒนาพฤตินิสัยผู้กระทำผิดที่หลากหลายและมีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละกลุ่ม เพื่อส่งเสริมด้านการพัฒนาจิตใจ โดยการปรับเปลี่ยนทัศนคติให้เป็นไปในทางที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข ไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก และนโยบาย 8 มิติ ยกระดับสร้างความเปลี่ยนแปลงของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินร์ มิติที่ 4 พัฒนาพฤตินิสัย แก้ไขผู้ต้องขังให้ตรงกับปัญหาของการกระทำความผิด โดยเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ได้ยึดถือและปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อสังคมต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวให้โอวาทและสื่อสารส่งมอบความรักความห่วงใยในโอกาสแห่งเดือนรอมฎอนแก่ผู้ต้องขัง ว่า “วันนี้ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ มนุษย์ที่เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรี มีคุณค่า เดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งความประเสริฐ ความเท่าเทียม และสิ่งที่แสดงให้เห็นความเท่าเทียม คือ ผู้ก้าวพลาดหรือผู้ต้องราขทัณฑ์ได้ละศีลอดด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ ท่านประธานสภาฯ และท่านจุฬาราชมนตรี เราต่างได้ละหมาดร่วมกัน ได้ละศีลอดร่วมกัน เพราะวันนี้เรามี 2 เสาหลักของประเทศที่ได้ร่วมละศีลอด คนแรก คือ ท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร เสาหลักทางนิติบัญญัติในระบบการปกครอง ซึ่งอยากให้ผู้ต้องราชทัณฑ์ได้ภูมิใจ อยากสื่อสารให้ผู้ต้องราชทัณฑ์ทั่วประเทศได้รู้ว่า ทุกคนมีเกียรติยศเพราะการได้ละศีลอดถือว่ามีเกียรติยศเท่ากัน เสาหลักที่สอง คือ ท่านอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี เสาหลักทางศาสนาอิสลาม ที่น่าภาคภูมิใจที่ท่านได้มาร่วมรับศีลอดกับทุกท่าน ดังนั้นอยากแสดงให้เห็นว่า ผู้ต้องราชทัณฑ์ทุก ๆ คนเป็นผู้มีเกียรติ”
“เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีผู้ต้องราชทัณฑ์ทั้งเข้าและออกเฉลี่ยวันละ 10 คน แสดงว่า คุก หรือ เรือนจำ ไม่ใช่เพียงเพื่อเข้าคุมขัง แต่มีไว้ออกด้วย แต่ก่อนที่จะออกจากเรือนจำที่ถือเป็นมหาวิทยาลัยชีวิต อยากให้กำลังใจและอยากให้โอกาส สำหรับการได้ใช้เวลาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ถือเป็นสิ่งท้าทาย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว
รมว.ยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “รู้สึกดีใจมากที่ได้รับทราบจากคณะกรรมอิสลามประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า เรือนจำแห่งนี้ได้มีผู้นำศาสนาเข้ามาสอนให้พวกเราได้เรียนรู้เรื่องชีวิต ซึ่งสำคัญกว่าการฝึกอาชีพ อีกทั้งต้องการให้ทุกคนได้รับถึงความห่วงใย ความรัก และทุกคนในที่นี้เป็นผู้มีเกียรติที่สุด”
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 368 ครั้ง