“มิสเตอร์เอทานอล” เตือนรัฐบาลอย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือน

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 224 ครั้ง

“มิสเตอร์เอทานอล” เตือนรัฐบาลอย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือน “อลงกรณ์” ห่วงอุตสาหกรรมเอทานอลล่มสลายเกษตรกรล่มจมเสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอล

วันนี้ (19 มิ.ย.67) นายอลงกรณ์ พลบุตร ฉายา “มิสเตอร์เอทานอล” (Mr.Ethanol) และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค “อลงกรณ์ พลบุตร” เรื่อง อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อเกษตรกร“แสดงความกังวลต่อนโยบาย “เอทานอล” ของกระทรวงพลังงาน พร้อมเสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอล โดยมีข้อความดังต่อไปนี้

“อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานสะอาดจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรไทย”

ผมกังวลใจที่ทราบว่ากระทรวงพลังงานจะไม่สนับสนุนเอทานอลน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากอ้อยและมันสำปะหลัง โดยการจำหน่ายน้ำมันจะเหลือเพียง น้ำมันเบนซิน และ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ทั้งที่ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก (AEDP) สนับสนุน E20 จะทำให้การใช้เอทานอลลดลงถึง 50% กระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมเอทานอล ที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2544 จนปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานเอทานอล 28 โรง มีกำลังการผลิต 6.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งทุกวันนี้ผลิตเพียง 3.1-3.2 ล้านลิตรต่อวัน หากในอนาคตปรับเหลือแค่ E10 ก็จะลดลงไปอีก 50% อาจถึงการล่มสลายของอุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรล่มจม

“เมื่อปี 2543 เกิดวิกฤติการณ์น้ำมันประเทศไทยกระทบรุนแรง เพราะนำเข้าน้ำมันถึง 90% ผมเสนอให้ประเทศไทยผลิตน้ำมันเอทานอล (แอลกอฮอล์) จากพืช ซึ่งมีโรงงานต้นแบบของในหลวง ในวังสวนจิตรลดา จึงได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ (ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์) เป็นประธานโครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชในต้นปี 2544 และเสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ฯพณฯชวน หลีกภัย) ให้ความเห็นชอบให้ผลิตเอทานอลเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ลดคาร์บอน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย ชาวไร่มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นน้ำมันเอทานอลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับฉายา “มิสเตอร์เอทานอล”

นับเป็นเวลากว่า 20 ปี ที่อุตสาหกรรมเอทานอลเติบโตและมีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (เบนซิน-แก๊สโซลีนผสมเอทานอล-แอลกอฮอล์) จำหน่ายทุกปั้มทั่วประเทศ มีน้ำมัน E10 E20 และ E85 (E คือ Ethanol, E10 คือ เอทานอล 10% เบนซิน 90% E20 และ E85 มีส่วนผสมเอทานอล 20% และ 85%) โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ยอมรับการปรับแต่งเครื่องยนต์และอุตสาหกรรมน้ำมันก็ให้การสนับสนุน

การที่รัฐบาลปัจจุบัน โดยกระทรวงพลังงาน จะลดการส่งเสริมสนับสนุนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเอทานอล และเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลัง ประสบความเดือดร้อนอย่างรุนแรง เพราะเพียงแค่มีข่าวว่าจะลดเหลือเพียงน้ำมัน E10 ชาวไร่ก็ถูกกดราคาแล้ว

ผมจึงขอเสนอมาตรการให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพลังงานพิจารณา ดังต่อไปนี้

  1. ส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานและยังคงจำหน่ายน้ำมัน E85
  2. ขยายเวลาการบังคับ “มาตรการยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ” ตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 รอบ 2 เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ก็เป็นราคาตามกลไกตลาดโลก และต้นทุนของเอทานอลอยู่แล้ว โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้นำเงินไปช่วยชดเชยราคาแต่อย่างใด และยังเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกด้วย
  3. ส่งเสริมเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม ให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นได้ อาทิ ไบโอพลาสติก, อุตสาหกรรมยา, อุตสาหกรรมสีทาบ้าน และ อุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น โดยแก้ไขหรือยกเลิก พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 เพราะปัจจุบันเอทานอลไม่สามารถนำมาใช้ด้วย เกรงจะถูกนำไปผลิตเป็นเหล้าเถื่อนกระทบบริษัทผลิตเหล้า และองค์การสุราทั้งที่มีมาตรการป้องกันได้เหมือนการนำเอทานอลมาใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
  4. ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไบโอรีไฟนารี่ (Biorefinery) คือ อุตสาหกรรมพลังงาน และเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่าเอทานอล
  5. เพิ่มศักยภาพการส่งออกเอทานอล โดยภาครัฐสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ของโรงงาน และชาวไร่ ให้มีผลผลิตสูงขึ้นสามารถแข่งขันชิงตลาดโลกได้

ประเทศของเราผลิตเอทานอลได้เกือบ 7 ล้านลิตรต่อวัน แต่กลับหยุดส่งออกเอทานอลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 หรือ 11 ปีมาแล้ว โดยรัฐบาลขณะนั้นออกมาตรการระงับการส่งออกด้วยเกรงเอทานอลจะไม่พอใช้ในประเทศ โดยยกเว้นให้ส่งออกเป็นบางกรณี เช่น เดือนมีนาคม 2557 มีการส่งออกจำนวน 4 ล้านลิตร และเดือนธันวาคม 2563 ส่งออกเพียง 5.4 หมื่นลิตร มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และ อังกฤษ ปัจจุบันกำลังการผลิตใช้เพียงครึ่งเดียวเหลือวันละ 3 ล้านลิตร หากส่งออกได้ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้เต็มกำลังการผลิตจริง

“รถจดทะเบียนสะสมมีกว่า 44 ล้านคัน ส่วนรถไฟฟ้ามีแสนกว่าคัน ดังนั้นน้ำมันสำหรับรถสันดาปภายในยังมีความต้องการอีกมาก การผลิตน้ำมันชีวภาพ (Biofuel) ทั้งเอทานอล และไบโอดีเซล มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงานและรัฐบาลใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาดีเซลและแก๊สกว่าแสนล้านบาท โดยไม่ได้อุดหนุนราคาแก๊สโซฮอลล์ มิหนำซ้ำกลับจะทำลายรากฐานของการพึ่งพาตัวเองของประเทศที่เราสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลจนเติบใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ ผมขอให้กระทรวงพลังงานและรัฐบาล ทบทวนนโยบายเสียใหม่ อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือน”

(คำบรรยายภาพ)

อลงกรณ์ ขับรถไถจากสวนจิตรลดาบุกทำเนียบรัฐบาลในเดือนกันยายนปี 2544 เพื่อโปรโมทโครงการเอทานอลจนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในสัปดาห์ถัดมา

มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 224 ครั้ง

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

แสดง
ซ่อน