มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1332 ครั้ง
ผู้ตรวจการแผ่นดินระดมสรรพกำลังหามาตรการเยียวยาบรรเทาทุกข์โรงเรียนเอกชนระยะสั้น – ยาว ผลพวงวิกฤตโควิดหนัก หวั่นไม่นานอาจปิดฉากยุบตัวจ่อกระทบครูและบุคลากรทางการศึกษาแสนกว่าชีวิต นักเรียนร่วมสองล้านคน หวังมาตรการระยะสั้นวอนรัฐช่วยพยุงปรับลดค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าไฟค่าน้ำ และเงินทุนกู้หมุนเวียน ส่วนระยะยาวขอรับเงินอุดหนุนค่าธรรมเนียมการศึกษารายบุคคล ลดหย่อนภาษีให้กับผู้บริจาคจำนวนสองเท่า อุดหนุนค่าอาหารกลางวันเด็ก 100 เปอร์เซ็นต์ ตลอดจนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและดอกเบี้ยต่ำ พร้อมเร่งชงทางออกเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรี
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อสภาพคล่องของโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ จำนวน 3,563 แห่ง ทำให้โรงเรียนเอกชนบางแห่งทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพจำเป็นต้องปิดกิจการเพราะไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายต่อไปได้ เนื่องจากนักเรียนสมัครเรียนน้อยลง ผู้ปกครองค้างชำระค่าธรรมเนียมจำนวนมาก สร้างผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนอย่างมหาศาล ช่วงเดือนเมษายน 2564 ถึงปัจจุบัน โรงเรียนเอกชนไม่สามารถเปิดเรียนแบบ ONSITE ได้ การเปิดการเรียนการสอนแบบ ONLINE ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากเรียกร้องขอเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาคืน อีกทั้งผู้ปกครองบางส่วนค้างจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาให้กับโรงเรียนเอกชนกว่า 2,500 แห่ง ทำให้โรงเรียนขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนครูถึงแม้ว่าจะพยายามยื่นกู้จากสถาบันการเงินแต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันสถาบันการเงินจึงไม่อนุมัติเงินกู้ให้กับโรงเรียนเอกชนบางแห่ง ส่วนบางแห่งได้รับเงินกู้แต่ถูกคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินไป ปัญหาดังกล่าวได้มีการเลิกจ้างครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว จำนวน 12,253 คน หากปัญหานี้ปล่อยวางจะกระทบถึงโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยและผู้ปกครองจำนวนมากที่พึ่งโรงเรียนเอกชนเป็นสถานศึกษาทางเลือก โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาบางส่วนที่กล่าวไปยังมีเรื่องอื่น ๆ ตามมาจำนวนมาก ในการนี้จึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมสรรพากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของโรงเรียนเอกชนให้สามารถบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดและยั่งยืนภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้
โดยผู้ตรวจการแผ่นดินร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องได้เสนอแนะการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
1. การแก้ไขปัญหาระยะสั้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ดำเนินการประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ
– การขอลดค่าน้ำ-ค่าไฟร้อยละ 50 ให้กับโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นชั่วคราว
– การขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินในการกำหนเดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขการกู้จากสถาบันการเงินให้โรงเรียนเอกชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและดอกเบี้ยต่ำ เพื่อแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ
– ขอให้รัฐเร่งรัดจัดสรรงบประมาณชดเชยรายได้ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน 5,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ในระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563)
2. การแก้ไขปัญหาระยะยาว มีข้อเสนอแนะ ดังนี้
2.1 เงินอุดหนุนค่าธรรมเนียมการศึกษารายบุคคลของนักเรียนโรงเรียนเอกชน
– ให้ภาครัฐอุดหนุน 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 2 ปี เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด 19 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โรงเรียนสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติแล้วจึงปรับลดเงินช่วยเหลือเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ ตามเดิม
– ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประสานกรมสรรพากร จัดประชุมเพื่อศึกษาหารือรายละเอียด เงื่อนไข และแนวทางปฏิบัติ กรณี การลดหย่อนภาษีจำนวนสองเท่าสำหรับผู้บริจาคเงินเพื่อการศึกษาให้กับโรงเรียนเอกชน รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้หน่วยรับสิทธิได้รับทราบแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ตลอดจนแจ้งผู้บริจาคให้ทราบถึงสิทธิการลดหย่อนภาษีสองเท่าของจำนวนการบริจาคตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 713) พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ขอให้กรมสรรพากรพิจารณาความสำคัญและขยายโครงการต่อไปในปี พ.ศ. 2565
2.2 การส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการครูโรงเรียนเอกชน
– ให้รัฐพิจารณาหาแนวทางเพื่อให้ครูโรงเรียนเอกชนที่ใช้สิทธิสวัสดิการกองทุนสงเคราะห์สามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เกินสิทธิได้ โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทองเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงควรมีการศึกษาและปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ครูโรงเรียนเอกชนสามารถพิจารณาทางเลือกว่าจะใช้สิทธิบัตรทอง หรือประกันสังคม
– ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเร่งรัดการศึกษาวิจัยร่วมกับสภาการศึกษาและวางแผนเกี่ยวกับการเพิ่มเงินเดือนครูโรงเรียนเอกชนในอัตราที่เหมาะสม เพื่อที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะได้นำเสนอหลักการต่อรัฐบาลให้พิจารณาเมื่อสถานการณ์ปกติและฐานะทางการเงินการคลังของรัฐบาลดีขึ้นแล้ว
2.3 งบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนขั้นพื้นฐาน
– ให้รัฐเพิ่มเงินอุดหนุนค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนขั้นพื้นฐานให้แก่โรงเรียนเอกชนที่ประสบปัญหา 100 เปอร์เซ็นต์ โดยพิจารณากำหนดรายละเอียดโรงเรียนเอกชนที่ควรได้รับการช่วยเหลือให้ชัดเจน (ไม่จำเป็นต้องเพิ่มให้ทุกโรงเรียน)
– ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หารือไปยังกรมบัญชีกลาง หรือสำนักงบประมาณ กรณี การขอให้สามารถนำเงินเหลือจ่ายสำหรับค่าอาหารกลางวันไปใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนเพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีแนวทางดำเนินการโดยถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
2.4 การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีป้าย
– ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พิจารณาเรื่องการลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โรงเรียนเอกชนนอกระบบที่ประกอบกิจการในเชิงธุรกิจ 4 ประเภท ได้แก่ ศิลปะและกีฬา วิชาชีพ กวดวิชา และสร้างเสริมทักษะชีวิตที่ไม่ได้รับการลดภาษี แต่หากการดำเนินกิจการของโรงเรียนเอกชนดังกล่าวมีเป้าประสงค์ที่สอดคล้องและตรงกับหลักเกณฑ์ของโรงเรียนเอกชนที่จะได้รับการลดภาษี ก็ขอให้อนุโลมแก่โรงเรียนนั้น ๆ ตามควรแก่กรณี โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนประสานงานกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอย่างต่อเนื่อง
– ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นตรวจสอบและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเรื่องการจัดเก็บภาษีป้ายให้เกิดความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาการจัดเก็บภาษีป้ายโรงเรียนเอกชน
2.5 มาตรการช่วยเหลือสำหรับโรงเรียนเอกชนปิดกิจการ และการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมโรงเรียนเอกชนนอกระบบ
– ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน พิจารณาเสนอปรับแก้ไขกฎระเบียบกองทุนสงเคราะห์เพื่อให้สามารถนำเงินมาเยียวยาให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกในกรณีที่ถูกเลิกจ้างหรือยุติการเป็นครูโรงเรียนเอกชนให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ได้ ส่วนการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมโรงเรียนเอกชนนอกระบบนั้นเห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งกองทุนเกี่ยวกับการส่งเสริมโรงเรียนเอกชน นอกระบบสามารถกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการและพัฒนาโรงเรียนได้
นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับโรงเรียนเอกชนในขณะนี้ต้องเร่งแก้ไข และร่วมกันพลิกสถานการณ์นี้ให้รอดพ้นวิกฤต เพื่อชะลอปัญหาต่าง ๆ ที่จะตามมาทั้งผู้ปกครอง และนักเรียนต้องหาที่เรียนใหม่ หรือบางคนอาจหมดโอกาสศึกษาต่อ
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 1332 ครั้ง