มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 926 ครั้ง
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีงานวันคล้ายวันก่อตั้งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ครบรอบ 50 ปี พร้อมด้วย นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และประธานกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ณ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทุกมิติการเดินทาง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชน กระทรวงคมนาคมได้รับนโยบายดังกล่าวมาขับเคลื่อนเพื่อนำพาประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน โดยได้มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แก้ไขปัญหาการจราจรในภาพรวม ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีรถจำนวนกว่า 1.8 ล้านคันต่อวัน ใช้บริการผ่านโครงข่ายทางพิเศษที่เปิดให้บริการรวม 225 กิโลเมตร สำหรับในวันนี้ กทพ. ได้เติบโตอย่างเข้มแข็งมาจนครบ 50 ปีเต็ม เกิดจากความมุ่งมั่น ทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างของ กทพ.
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กทพ. ได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาให้บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติด้วยบัตร Easy Pass การพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบจราจรอัจฉริยะ (ITS Center) การพัฒนาระบบ e-Service การจัดตั้งศูนย์บริหารการจราจรทางพิเศษ (Expressway Traffic Management Center) และในอนาคตอันใกล้นี้จะเปิดให้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น หรือ M-Flow ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยบูรณาการร่วมกับกรมทางหลวงให้เป็นไปในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน จำนวน 3 ด่านแรกก่อน คือ ด่านจตุโชติ ด่านสุขาภิบาล 5-1 และด่านสุขาภิบาล 5-2 รวมถึงการขยายโครงข่ายทางพิเศษสายใหม่ คือ ทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ทางพิเศษสายฉลองรัช – นครนายก – สระบุรี รวมถึงโครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งถือเป็นโครงการทางพิเศษสายแรกในภูมิภาค นับเป็นการเปิดมิติใหม่ในการแก้ไขปัญหาจราจรที่ไม่ยึดติดเฉพาะในเมืองหลวงและปริมณฑล นอกจากนี้ กทพ. ยังได้ดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การมอบพื้นที่ใต้ทางพิเศษเพื่อสาธารณประโยชน์ การมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่อยู่ในชุมชนและโรงเรียนรอบเขตทางพิเศษ ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดต่าง ๆ อีกด้วย
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ กทพ. ซึ่งตั้งขึ้นจากการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการจัดตั้งกับสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) เพื่อบอกเล่าประวัติของ กทพ. จากอดีตสู่อนาคต รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์แก่บุคคลภายนอกเกี่ยวกับการก่อสร้างและบริหารจัดการทางพิเศษ บอกเล่าเรื่องราวของ กทพ. ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ส่งผ่านเรื่องราวบนพื้นที่จัดแสดงจำนวน 4 โซน ซึ่งมีความประทับใจที่ซ่อนอยู่มากมาย เช่น การจำลองบรรยากาศบนยอดสะพานขึงของสะพานพระราม 9 และการเรียนรู้เบื้องหลังการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บนทางพิเศษ เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายเพิ่มเติมให้ กทพ. ดังนี้
1. กทพ. ต้องสร้างความท้าทายในการทำงานโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ
2. การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยนำไปสู่การปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพโดยเร็ว
3. การดำเนินโครงการต่าง ๆ ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย โดยทำความเข้าใจต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของโครงการให้ชัดเจน เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
4. การดำเนินงานต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ภายใต้ข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 926 ครั้ง