มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 618 ครั้ง
ภาคประชาชน เผยเหตุทำไมค่าไฟฟ้าแพง ระบุมาจากการวางแผนในระดับนโยบายที่ผิดพลาด เลือกใช้-กำหนดสัดส่วนวัตถุดิบที่ผลิตไฟฟ้าภาครัฐไม่นำเรื่อง “Risks Management-การบริหารความเสี่ยงมาใช้” ระบุภาครัฐคาดการณ์ราคา LNG มีราคาถูกไม่ผันผวนหวังเอื้อเอกชนมากกว่า แนะแนวทางแก้ปัญหา แบ่งเป็นทั้งระยะสั้นดึงมาตรการการคลังรัฐมาช่วย ส่วนในระยะยาว มุ่งไปสู่การเปิดไฟฟ้าเสรี
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช เลขาธิการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน เปิดเผยถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา ค่าไฟในประเทศมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความเห็นว่าสาเหตุที่ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นนั้นมาจากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. การวางแผนในระดับนโยบายที่ผิดพลาด มององค์ประกอบไม่ครบถ้วน ขาดความรู้ความเข้าใจและไม่ได้ดูสถานการณ์โลกให้ถ่องแท้ และไม่เปิดรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างตั้งใจ และจริงใจ ผู้บริหารพลังงานในระดับนโยบายซึ่งมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลในแต่ละชุดมีความรู้ด้านเดียวคือความรู้พลังงาน แต่ข้อเท็จจริง “พลังงาน” นั้นอยู่ในทุกอณูของเศรษฐกิจของประเทศและของโลก ดังนั้นผู้บริหารพลังงานต้องมีความรู้ที่หลากหลายจึงจะได้องค์ประกอบที่ครบถ้วนมาใช้ในการตัดสินใจ การกำหนดนโยบายใดนโยบายหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อ ภาคกำกับและ ภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะนโยบายที่มีการแทรกแซงความคิดการกำกับและการทำงาน ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา การบริหารงานของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลา 10 ปีนี้
2. การเลือกวัตถุดิบที่สัดส่วน ความหลากหลายของปริมาณ และชนิดของเชื้อเพลิง มาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า อาทิเช่น การเลือกกำหนดสัดส่วนของ ก๊าซธรรมชาติเหลว Liquid Natural Gas (LNG) โดยมีการประเมินว่าราคา LNG จะถูกและราคานิ่งยาวตลอด 20 ปี! จึงโฟกัสไปที่ต้นทุนพลังงานเดียวเหมือนกับการแทงหวยรางวัลที่ 1 ถ้าไม่ได้คือล้มเลย แต่ในข้อเท็จจริงเรื่องประเภทนี้ในภาคเอกชนไม่ทำกัน เพราะว่าภาครัฐไม่ได้เอาเรื่องของ Risks Management มาเป็น KPI
นายสุวิทย์ กล่าวว่า การที่ผู้บริหารระดับสูงของประเทศบอกว่าราคาพลังงานโดยเฉพาะ LNG จะมีราคาถูกไม่ผันผวน เป็นเหตุผลใหญ่ให้การต่ออายุสัมปทานของเชฟรอนในทะเลอ่าวไทย ผู้ปฏิบัติเกิดข้อกังวลสงสัยไม่กล้าปฏิบัติโดยทันทีซึ่งเกรงว่าการตัดสินใจต่อสัญญาโดยเร็วอาจจะทำให้ก่อผลเสียเนื่องจากเชื่อว่าราคา LNG ที่ผู้บริหารระดับสูงบอกจะถูกไปเรื่อยๆ และถ้าไม่ทำตามก็อาจจะโดนคาดโทษได้ และมีผลไปถึงนโยบายกำหนดในการซื้อ Long Term Gas เช่นเดียวกัน
จากนโยบาย ภาครัฐที่ประกาศออกมา กำหนดพลังงานหมุนเวียน Renewable energy (RE) ให้มีสัดส่วนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 50 ในปี 2050 นั้น มีการศึกษาเชิงลึกจากหลากหลายสถาบันที่เชื่อถือได้ระดับโลก ว่าไม่สามารถจะตอบโจทย์ ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศในปี 2050 ได้ สอดคล้องกับงานวิจัยที่มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชนได้จัดทำแผน PDP ภาคประชาชนร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพบว่าถ้าจะตอบโจทย์ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 ประเทศไทยต้องใช้พลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
3. สถานการณ์ภาวะโลกร้อน Climate Change และการประกาศเจตนารมณ์ของประเทศไทยใน COP 26 และ COP 27 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ทำให้ประเทศไทย ต้องประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 แต่นโยบายด้านพลังงาน ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ออกมาดูเหมือนไม่สามารถจะเป็นไปตามที่ประกาศได้
นายสุวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีข่าวค่าไฟฟ้า มีราคาสูงออกมาเมื่อไหร่ จะมีกระบวนการปลุกกระแสปล่อยข่าวว่า “ต้นทุนที่แพงนั้นมาจากพลังงานหมุนเวียนในอดีต” ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว พลังงานหมุนเวียนในอดีตมีสัดส่วนต่อค่าไฟฟ้าไม่ถึง 1% และในปัจจุบัน สัดส่วนดังกล่าวได้ลดลงไปจนเกือบจะหมด และภายในระยะเวลา 2-3 ปี การอุดหนุนเหล่านี้อายุสัมปทานก็จะหมดลง เราสามารถดูได้จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่าสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูงขึ้น ถ้า RE แพงจริงทั้งโลก “ทำไม” ถึงใช้ RE ในอัตราส่วนที่สูงอย่างมาก การบิดเบือนข่าวแบบนี้จะมีการกระทำออกมาเป็นระยะ เมื่อมีข่าวไปกระทบกันโรงไฟฟ้าที่ผลิตมาจากฟอสซิล
4. การสำรองไฟของประเทศที่เกิน อันเนื่องมาจากการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าจาก GDP และเมื่อเกิดภาวะโรคระบาดโควิด ทำให้ส่วนเกินมากขึ้นไปอีก เพราะความ ต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง อีกทั้งยังเร่งกระบวนการและอนุมัติในการจัดตั้ง และเร่งรัดงานก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล ในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้มีปริมาณสำรองมากกว่า 15% เกินกว่ามาตรฐานการสำรองของความต้องการใช้ไฟฟ้าไปอย่างมาก ซึ่งหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ทำกัน
5. สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน เป็นจุดสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงและ ประเทศไทยไม่เคยตั้งรับกับสถานการณ์ในความเสี่ยงใดๆ เพราะผู้บริหาร ไม่ได้ใช้หลักการการบริหารความเสี่ยง (Risk management) มาบริหารจัดการ
6. สถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเคยอ่อนตัวลึกถึง 38 บาทต่อ US Dollar
“ดูเหมือนการวางแผนพลังงานของประเทศผิดพลาดหลายจุดพร้อมกันอย่างมากมายเกินไป จนทำลายการรักษาเสถียรภาพของราคาพลังงานของประเทศอย่างร้ายแรง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การกำหนดนโยบายที่ผิดพลาดเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ประเทศกลับหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหาร หรือมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล (ครม.) ก็มักจะโยนกันไปต่อๆ ว่าเป็นความผิดของรัฐบาลชุดนั้นรัฐบาลชุดนี้ แต่ในข้อเท็จจริงผู้มาเป็นผู้บริหารสามารถแก้ไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าจะทำ” นายสุวิทย์ กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน ยังให้ความเห็นถึงแนวทางการแก้ปัญหาค่าไฟที่แพงว่า ภาครัฐควรจะ วางแผน 3 ระดับ คือ 1. ระยะสั้นคือ 1-3 ปี แก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงเฉพาะหน้าโดยใช้มาตรการการเงินการคลังเข้ามาช่วย 2. ระยะกลาง 4-10 ปี กำหนดสัดส่วนโรงไฟฟ้าที่มาจากฟอสซิลให้ลดน้อยลง สนับสนุนพลังงานสะอาดที่เป็นเทรนของโลกให้มากขึ้น โดยมีเป้าหมายจะต้องแล้วเสร็จไม่น้อยกว่าที่ประเทศต่างๆ กำหนดและที่สำคัญต้องคำนึงถึงองค์กรต่างๆ ที่มาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตมีความต้องการพลังงานสะอาดซึ่งมีความเร็วกว่านโยบายในระดับประเทศ และ 3. ระยะยาว 1-10 ปีขึ้นไป มุ่งไปสู่การเปิดไฟฟ้าเสรี (แต่การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เพื่อเข้าเป้าใน 10 ปีข้างหน้า) ให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาเพื่อจะเกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายทั้งในระดับรากหญ้าจนถึงผู้ผลิตขนาดใหญ่
“ถึงเวลาแล้วที่พลังงานของประเทศต้องใช้หลักการบริหารของกระทรวงพลังงาน ให้เหมือนกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้เหมือนธนาคารแห่งประเทศไทย ที่การเมืองเข้าไปล้วงลูกได้ยาก ทั้งนี้เพราะพลังงานไม่ต่างจากเงิน และเงินไม่ต่างจากพลังงานเลยในทุกวันนี้ ประเทศไทยจึงน่าห่วงและผมห่วงประเทศไทยมาก ขอโอกาส ให้ข้อมูลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานท่านใหม่ และหวังว่าพรรคการเมืองต่างๆ ควรจะมีมิติใหม่ในเรื่องการบริหารจัดการพลังงานและกระทรวงพลังงาน ถ้าเป็นไปได้ ขอมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อนโยบาย ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศต่อไป” เลขาธิการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าว
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 618 ครั้ง