มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 266 ครั้ง
ภาครัฐ ส่วนท้องถิ่น และ องค์กรเอกชน ในพื้นที่เขตติดต่อ 2 จังหวัด พระนครศรีอยุธยา และ ปทุมธานี จับมือร่วมกัน สะสางปัญหาการจราจร ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ เส้นทางหลวงชนบท ซึ่งมีการใช้สัญจรเป็นทางหลัก ลดความหนาแน่น และ ป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากมีสถานศึกษาหลายแห่ง เพื่อความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 มี.ค.67 นายธนโรจน์ ธนาชัยกุลไพศาล นายก อบต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย นายธงชัย วรวิทยธาดา ผู้อำนวยการแขวงทางชนบท จ.ปทุมธานี นายมานพ แจ่มมี ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ รวมถึง นายชณทัต ปัทะมะภูวดล รอง นายก อบต.พยอม ร่วมกันหารือ เพื่อหาทางออกปัญหาการจราจรหนาแน่น และ ลดอุบัติเหตุ ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ ซึ่งเป็นเส้นทางสายชนบท แต่ประชาชนใช้เป็นการจราจรเส้นทางหลัก เดินทางจาก อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เขตติดต่อ 2 จังหวัด จึงทำให้มีความหนาแน่นของประชาชน ทั้งผู้พักอาศัย และผู้เดินทางจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน ในแต่ละวัน
นายชณทัต ปัทะมะภูวดล หรือ “รองแมกซ์” รองนายก อบต.พยอม กล่าวว่า การแก้ปัญหาจราจรพื้นที่ดังกล่าว ต้องเดินหน้าเชิงบูรณาการ ดึงความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันหาทางออก ไม่ใช่เพียงส่วนราชการท้องถิ่นเท่านั้น แต่รวมถึงหน่วยงานด้านคมนาคม ด้านชลประทาน ตำรวจ รวมทั้ง ภาคเอกชน เนื่องจากเป็นเส้นทางที่มีชุมชนผู้พักอาศัยนับ 10 แห่ง และเชื่อมต่อไปยังพื้นที่อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ เส้นทางจุดนี้ มีสถานศึกษา ทั้งระดับ ประถม มัธยม และ เชื่อมไปถึง ระดับอุดมศึกษา 2 แห่ง คือ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ ม.ราชภัฎวไลย์ลงกรณ์ เมื่อมีความหนาแน่นของประชาชนในแต่ละวันจำนวนมาก จึงอาจเสี่ยงต่อปัญหาอุบัติเหตุตามมา จึงต้องวางกลยุทธ์เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนเพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงทุกเทศกาลท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วันสงกรานต์ ที่กำลังจะมาถึงในเดือน เม.ย.67 นี้
ด้าน นายธงชัย วรวิทยธาดา ผู้อำนวยการแขวงทางชนบท จ.ปทุมธานี เผยว่า พื้นที่ถนนเส้นคลองระพีพัฒน์ อาจต้องมีการปรับขยายเพื่อความเหมาะสมรองรับการเติบโตของพื้นที่ในอนาคต ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานด้านชลประทาน เพื่อขยายเส้นทางไม่ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการแก้ปัญหาในส่วนนี้ จะทำให้ประชาชนสามารถเดินทางสัญจรได้อย่างปลอดภัย และใช้เป็นเส้นทางสัญจรเพื่อการเดินทางหลัก ไปยังพื้นที่สำคัญ ของทั้ง 2 จังหวัด
มีผู้อ่านข่าวนี้แล้ว 266 ครั้ง